“Take Care”

Author : Bepine

Pairing : Captain America/Tony Stark (Steve/Tony) or Pepper/Tony

Movies : Ironman3 , Avenges , Captain America

Rate : PG , Drama(?)

            สตีฟกำลังไล่สายตามองรายชื่อแต่ละรายชื่อที่ถูกเม็มไว้ในมือถือรุ่นอาม่าของเขา... เพราะตอนนี้เขากำลังต้องการความช่วยเหลือ...

            ประมาณ 4 ชั่วโมงก่อง สตีฟจำเป็นต้องกลับไปรายงานตัวกับ ผอ.หน่วยชิลด์ หรือ นิค ฟิวรี่ ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ นั่นเป็นสาเหตุที่เขาต้องเดินทางเข้ามาในนิวยอร์กหลังจากที่พยายามจะหนีจากที่นี่มาเสียนาน หลังจากนั้นอีก 15 นาที ทันทีที่เขารายงานตัวเสร็จ สตีฟเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเขาและพบว่ามันถูกชำแหละเป็นชิ้นๆโดยช่างเครื่องของหน่วยชิลด์ที่อ้างว่านี่เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ก่อนที่สตีฟจะได้รับตั๋วรถโดยสาร Grayhound พร้อมกับคำอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพมาแทน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สตีฟจำต้องละทิ้งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจมานั่งรอรถโดยสารอยู่ที่สถานีแบบนี้

            ถ้าดูตามกำหนดในตั๋วแล้ว ที่จริงเขาควรจะได้ขึ้นรถไปตั้งแต่เมื่อ 3 ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่นี้ ว่านี่เป็นตั๋วรถโดยสาร Grayhound ดังนั้นเรื่องการตรงต่อเวลาหรือการที่รถจะรับคนได้หรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

            สตีฟยังจำตอนที่เขาลองนั่งรถโดยสารครั้งแรกได้ จำตั๋วรถโดยสาร Grayhound ที่อุตส่าห์จองไว้เสียดิบดีได้ ยังจำได้ขึ้นใจเลยว่าตอนนั้นเขาต้องรอรถเลยนัดในตั๋วมาตั้ง 2 ชั่วโมง!!! และนั่นทำให้สตีฟลองศึกษาถึงกระบวนการทำงานของรถโดยสารชนิดนี้ดู และเขาก็ได้พบข้อเสียที่ว่า...

            - ไม่มีการรับรองความปลอดภัยและความตรงต่อเวลา ดังนั้นเมื่อวางแผนใช้บริการ Greyhound ต้องสำรองเวลาในกรณีที่รถโดยสารล่าช้าด้วย เพราะ Greyhound จะไม่รับผิดชอบต่อการล่าช้าของรถโดยสารไม่ว่ากรณีใดๆ

- ไม่รับรองที่นั่งบนรถ แม้ว่าคุณจะมีตั๋วโดยสารที่ระบุหมายเลขรถนั้น ในวันที่โดยสารนั้นก็ตาม ดังนั้น หากคุณไปถึงสถานีก่อนเวลา แต่รถโดยสารเต็มแล้ว ท่านต้องรอรถเที่ยวต่อไป ซึ่งในบางครั้งอาจห่างกันถึง 6 ชั่วโมง

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สตีฟถอยมอเตอร์ไซค์ด้วยเงินจากการทำงานอันน้อยนิด!!

แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกที่ทำให้วันนี้เขาต้องมานั่งรถโดยสารอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ และดูเหมือนว่าพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเขามากขึ้นกว่าครั้งก่อนโดยการบันดาลให้รถโดยสาร Grayhound คันที่ผ่านมา ‘เต็มหมด!!!’

และนี่แหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สตีฟต้องนั่งแกร่วรอรถมาแล้วกว่า 4 ชั่วโมง!!!

.

.

.

.

คลินท์ บาร์ตัน

ไม่ล่ะ เห็นนิคบอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำภารกิจอยู่กับบรูซ

นาตาชา

ไม่ล่ะ ไม่เอาดีกว่า

นิค ฟิวรี่

ไม่มีทาง! ไม่รู้ช่วยเสร็จจะให้เขาไปทำงานอะไรอีกรึเปล่า

สตีฟไล่มองรายชื่อแต่ละคนด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้าขณะที่กดเลื่อนหน้าจอดูรายชื่อต่อไป ดูท่าว่าเขาคงจะไม่ได้กลับบ้านซะแล้วหล่ะมั้ง

โทนี่ สตาร์ก

แถบรายชื่อถูกหยุดลงตรงรายชื่อสุดท้ายในมือถือ

สตีฟกำลังลังเล เขาควรโทรไปหาอีกฝ่ายหรือเปล่า ประสบการณ์ครั้งแรกของพวกเขาทั้งสองคนมันไม่ได้ดีมากนัก ออกจะเป็นไปในทางที่เลวร้ายด้วยซ้ำไป แม้ว่าตอนจบจะจบลงด้วยดีก็เถอะ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย พวกเขาทำเพียงแค่แลกเบอร์กันเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้โทรหากันละกันเลยซักนิด และตอนนี้...ตอนที่เขากำลังต้องการความช่วยเหลือแบบนี้ อีกฝ่ายจะว่างมาช่วยเขาหรือ? ก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงประธานบริษัทที่ป่านนี้คงกำลังพัฒนาโปรเจคสำคัญบางอย่างอยู่

สตีฟถอนหายใจ เตรียมตัวหยิบโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงบางคนเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ของเขาเอง

ฮัลโหลแคปซิเคิล! โทษทีนะที่รับช้า ว่าแต่นายโทรมาหาฉันมีอะไรน่ะ

สตีฟสะดุ้งตัวโยน นี่เขาหลงกดโทรออกไปตั้งนานแล้วเหรอเนี่ย!

ฮัลโหลๆ อยู่ไหมเนี่ย แคป แคป กัปตัน!

เสียงของมหาเศรษฐี อัจฉริยะ เพลย์บอย (แถมยังใจบุญ?) ยังคงดังผ่านระบบลำโพงมือถือออกมาไม่หยุดจนสตีฟต้องยกมือถือขึ้นมาตอบกลับอย่างเสียไม่ได้

“ผมยังอยู่ พอดีตอนแรกผมไม่ได้ยินคุณ ขอโทษด้วยนะโทนี่” สตีฟกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ อดรู้สึกตื่นเต้นลึกๆไม่ได้

โอเค... นายยังอยู่ ว่าแต่มีอะไรเหรอ มีอะไรให้ฉันช่วยรึไงคุณปู่หวานเย็น โดนนิคใช้งานจนป่วยงั้นหรือ?

น่าแปลก เสียงแนวล้อเลียนขำๆของอีกฝ่ายแทนที่จะทำให้รู้สึกโมโหกลับทำให้สตีฟรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด เขาเปลี่ยนท่านั่งจากหลังตรงมาเป็นพิงพนัก ซึมซาบความห่วงใยที่แอบแฝงมากับประโยคพวกนั้น

“พอดีผมรอรบโดยสารมา 4 ชั่วโมงแล้วน่ะ แล้วก็ไม่มีท่าว่ารถจะมาเสียที แล้วคอนโดชั่วคราวของผมมันอยู่แถบชานเมือง คุณจะช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหม”

โอ้! เรื่องแค่นี้เองน่ะเหรอ โอเคๆ ได้ๆ ตอนนี้นายอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบบึ่งไปรับเลย

คำตอบรับของอีกฝ่ายทำให้สตีฟเผลอยิ้มออกมา โทนี่ สตาร์ก มักจะแคร์คนรอบข้างเสมออย่างที่เจ้าหน้าที่โคลสันเคยเล่าให้เขาฟัง

“ผมอยู่ที่สถานีGreyhound”

‘อ๋อ...งั้น ประมาณ 20 นาทีฉันคงไปถึง นายรอได้นะ’

“ผมรอได้ คุณรีบมาเถอะ”

‘โอเค ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ’

ตื้ด----

สตีฟมองจอโทรศัพท์ที่แสดงหน้าจอว่าอีกฝ่ายได้ตัดสายเขาไปแล้วอย่างเหม่อลอย

.

.

.

            สตีฟนั่งรออย่างใจเย็น พลางนับเวลาไปด้วยเงียบๆ เขารู้ว่านี่ก็เลยเวลาที่อีกฝ่ายคาดคะเนมาได้กว่า 20 นาทีแล้ว มันทำให้สตีฟอดที่จะกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าคิดถึงนิสัยของเจ้าตัวมันก็ทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาหน่อยนึง ยังไงเขาก็เป็นคนที่ต้องพึ่งอีกฝ่ายนี่นะ แถมพวกเขาก็เป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้สนิทกันขนาดว่าอีกฝ่ายจะต้องมาแคร์เขาด้วยซ้ำ จะไปหวังบริการรับส่งตรงเวลาแบบ E-service ได้อย่างไร

            สตีฟถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่หยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง....

            นี่มันก็ 46 นาทีแล้ว....โทนี่กำลังทำอะไรอยู่นะ....จะลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเขากำลังรออยู่.....

            สตีฟมองไปข้างหน้า พยายามเพ่งสายตาฝูงชนที่แออัดกันเพื่อรอรถโดยสาร ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้เขากำลังมองหาใครคนหนึ่งอยู่ ใครคนหนึ่งที่ไม่มีท่าทีว่าจะมาเสียที

            “ที่นี่คนเยอะกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”

            เสียงที่คุ้นหูดังมาจากเก้าอี้นั่งข้างๆทำให้สตีฟต้องรีบหันไปมอง และคนที่เขาเห็นกลับยิ่งทำให้เขาผงะยิ่งกว่า

โทนี่ สตาร์ก ในเสื้อกล้ามสีขาวที่คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีดำแบบมีฮู้ดสวม กับกางเกงขายาวสีดำที่สตีฟจำได้ว่าเป็นตัวที่อีกฝ่ายชอบใส่เสมอๆ กำลังนั่งอยู่ข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตาสีน้ำตาลกำลังมองตรงไปข้างหน้าในหมู่ฝูงชนที่คับคั่งนั่นอย่างเหม่อลอย

“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ผมไม่รู้ตัวเลย”

“ฉันเพิ่งจะมาถึงเมื่อกี้นี้เองสตีฟ ไม่น่าแปลกหรอกที่นายจะไม่รู้ตัว”

โทนี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขณะที่เบนสายตากลับมามองที่เขา มีเรียวชูกุญแจรถที่สตีฟไม่ต้องจ้องมากก็รู้ว่ามันคงไม่ใช่กุญแจของรถธรรมดาราคาถูกๆเป็นแน่

“เราไปจากที่นี่กันเถอะ คนเยอะชักทำให้ฉันปวดหัว”

อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินนำออกไปโดยไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลย

หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาอยู่บนรถเปิดประทุนที่อีกฝ่ายนำมาแล้ว โทนี่ก็ยังไม่เปิดปากพูดอีกเลย ไม่แม้แต่จะถามถึงที่ตั้งของคอนโดของเขาด้วยซ้ำ และเส้นทางที่กำลังมุ่งไปก็ไม่ใช่ทางที่จะไปคอนโดชั่วคราวของเขาด้วย แม้ว่าอยากจะทักท้วงแต่สตีฟเลือกที่จะเงียบและรอให้อีกฝ่ายยอมเล่าออกมาเองมากกว่า

ในที่สุดรถยนต์คันหรูที่พวกเขานั่งอยู่ก็จอดลง ที่ดิสนีย์แลนด์ปาร์ก

“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณชอบมาที่แบบนี้” สตีฟพูดขึ้นลอยๆขณะที่เดินตามอีกฝ่ายไปซื้อตั๋ว

“ก็แค่พาคุณปู่แถวนี้มาเปิดหูเปิดตาเท่านั้นเอง” โทนี่หันมายิ้มโชว์ฟันขาวให้ก่อนจะเดินนำลิ่วออกไปหลังจากได้ตั๋วแล้ว

“ผมว่าการมาสวนสนุกมันไม่ใช่การเปิดหูเปิดตาเท่าไหร่หรอกนะ” สตีฟเร่งตามอีกฝ่ายจนมาเดินข้างๆได้สำเร็จ

            “นายน่ะเคยสนใจอะไรรอบข้างบ้างไหมเนี่ยแคป”

            สตีฟสังเกตได้ว่าโทนี่ถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าจะไม่รู้สาเหตุแต่เขาก็เลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นมัน ยังไงซะเขาก็เป็นแค่เพื่อนนี่นา จะให้ยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากไปก็ไม่ได้

            “เห็นนิคบอกว่าช่วง 6 เดือนก่อนคุณมีปัญหากับผู้ก่อการร้าย” สตีฟอดที่ไม่ได้ที่จะลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย และก็พบว่าคิ้วเรียวนั้นกระตุกนิดๆ

            “....อืม.... แต่สุดท้ายเรื่องมันก็จบลงด้วยดีล่ะนะ” โทนี่ก้มหน้าลง

            “ผมดีใจนะที่คุณปลอดภัย”

            โทนี่เงยหน้าขึ้นมามองสตีฟอย่างงงๆก่อนจะค่อยๆเผยยิ้มออกมา

“ฮันแน่! แอบเป็นห่วงฉันละสิท่า คุณปู่หวานเย็น” โทนี่พูดเสียงล้อเลียน

“เอ่อ...กะ ก็คุณเป็นเพื่อนผมนี่ พวกเราเป็นทีมเดียวกันนะ และพวกเราก็ร่วมฝ่าอะไรมาด้วยกันมากมาย” สตีฟพูดตะกุกตะกัก ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าเขาแดงแค่ไหน ในใจก็นึกภาวนาอย่าให้อีกฝ่ายจี้จุดเขาต่อ

โชคดีสำหรับสตีฟที่โทนี่ไม่พูดอะไรต่อเพียงแค่ยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะหันหน้ากลับไปเท่านั้น

“นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว เรากลับกันเถอะ”

“อะ อื้ม”

สตีฟรับคำงงๆ เพราะพวกเขาเพิ่งจะเดินเข้ามาที่สวนสนุกได้ไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ และยังไม่ได้เดินชมหรือว่าเล่นเครื่องเล่นอะไรเลย แต่ก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายก็มักจะทำตัวแปลกๆแบบนี้อยู่แล้วเลยทำให้สตีฟเลิกที่จะใส่ใจและเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ

“คอนโดชั่วคราวของนายอยู่ไหนล่ะแคป” โทนี่ถามขณะที่กำลังคาดเข็มขัด

“แถบชานเมืองทางใต้น่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณขับไปตามทางที่ผมบอกพอ” สตีฟหยิบสายเข็มขัดมาคาดบ้าง

Rrrrr Rrrrr Rrrr….

เสียงเหมือนเสียงโทรศัพท์สั่นดังมาจากกระเป๋ากางเกงของโทนี่ อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับ

“ฮัลโหล  เพ็พ เปล่าจ้ะ เพ็พ...ผมมาส่งแคปซิเคิลกลับบ้านนะ ไม่ได้หนีไปเที่ยวที่ไหนซักหน่อย”

สตีฟหันไปมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง นี่โทนี่หนีงานมาหรือ?

“ผมกินยาแล้ว จ้ะ จ้ะ ผมสบายดีเพ็พ ไม่เจ็บแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”

สตีฟขมวดคิ้ว ถึงจะไม่รู้เรื่องมากเพราะฟังแต่เสียงของโทนี่แต่ก็พอจะรู้คร่าวๆว่าอีกฝ่ายคงจะเพิ่งหายจากการเจ็บป่วยมาหมาดๆ

“อาการผมปกติดี ถ้าคุณเป็นห่วงผมมากเอาเป็นว่าคุณมารับผมเป็นไง จ้ะ จ้ะ เดี๋ยวผมส่งแคปที่คอนโดเสร็จแล้วผมจะส่งแผนที่ไปให้นะ จ้ะ ผมไม่หักโหมแน่นอนเพ็พ คุณก็รู้ว่าผมเป็นเด็กดีแค่ไหน ฮ่าๆๆ โอเคเพ็พ ตามนั้นนะ จ้ะ รักคุณเหมือนกัน แค่นี้นะจ้ะที่รัก”

โทนี่ยิ้มบางๆก่อนจะกดวางสายไป

“คุณป่วยเหรอ” สตีฟถามเสียงเข้ม

“นิดหน่อยน่าแคป ตอนนี้ฉันหายแล้ว แต่เพ็พยังห่วงอยู่เท่านั้นเอง” โทนี่สตาร์ทรถ

“เธอเป็นห่วงคุณทดแทนที่คุณไม่ห่วงตัวเองนะสิ” สตีฟส่ายหน้าอย่างระอา

“เฮ้! แคป นายพูดแบบนี้ได้ไงเนี่ย ฉันดูแลตัวเองเสมอแหละน่า” โทนี่พูดเสียงกลั้วหัวเราะขณะที่เริ่มแตะคันเร่งทำให้รถเริ่มเคลื่อนที่ออกไป

“เชื่อคุณเลยโทนี่ ตอนศึกกับโลกิคุณเกือบจะสังเวยชีวิตคุณในหลุมอวกาศนั่นนะ!” สตีฟหันไปขึ้นเสียง

เอี้ยด!!!

รถยนต์คันหรูถูกเบรกกะทันหันในขณะที่สีหน้าของโทนี่ดูซีดลงไปในทันตา สตีฟเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“ทะ โทนี่ โทนี่ ทำใจดีๆไว้โทนี่ คุณเป็นอะไรไปน่ะ โทนี่!” สตีฟยื่นมือข้างหนึ่งไปกุมมืออีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังกำพวกมาลับรถแน่น ส่วนอีกข้างหนึ่งยื่นมือไปอังหน้าผากอีกฝ่าย

“ชะ ฉันไม่เป็นไร” เสียงของโทนี่สั่นเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ ข้อมือเล็กกำพวกมาลัยแน่นจนขึ้นเป็นข้อเขียว ใบหน้าที่ปกติดูอารมณ์ดีตอนนี้ดูซีดเซียวและดูเจ็บปวด

“โทนี่ หายใจเข้าลึกๆนะ พยายามทำใจดีๆโทนี่ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” สตีฟพยายามทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายอาการเกร็งกล้ามเนื้อลงด้วยการลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

โทนี่หอบหายใจอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังพยายามควบคุมลมหายใจของัวเองอย่างหนัก ในที่สุด หลังจาก 5 นาทีผ่านไป ท่าทีของโทนี่ก็ดูสงบลง

“ขอบคุณมาก แคป” โทนี่พูดเสียงแหบแห้งขณะที่เอนหลังพิงพนักเบาะอย่างหมดแรง

“นี่....เป็นอาการป่วยของคุณหรือเปล่า ผมหมายถึง ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ” สตีฟพูดด้วยสีหน้าหนักใจ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะไม่หายใจซะแล้ว

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ฉันเป็นโรคเครียดนิดหน่อยนะ” โทนี่หลับตาลง

“โอเค คราวหลังผมจะไม่รื้อฟื้นเรื่องนั้นอีกแล้ว” สตีฟลูบหัวโทนี่เบาๆหวังจะให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

“....อืม....”

“ผมว่า เดี๋ยวผมขับดีกว่านะ”

“โอเค ฉันก็คิดว่าฉันจะให้นายขับเหมือนกัน แต่ขอฉัน...พักก่อน...”

สตีฟมองอีกฝ่ายที่ยังคงหลับตาอยู่เงียบๆจนกระทั่งรู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว

คงจะเพลียสินะ

สตีฟปลดเข็มขัดออก เปิดประตูลงไปยืนข้างๆฝั่งคนขับ ค่อยๆปลดเข็มขัดให้อีกฝ่ายอย่างเบามือเพราะเกรงว่าจะทำให้อีกคนตื่น ก่อนจะค่อยๆช้อนตัวของมหาเศรษฐีขึ้นมา

ตัวเบากว่าที่คิดแฮะ...

สตีฟอมยิ้มเบาๆเมื่อพินิจมองใบหน้ายามหลับสนิทของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆเดินอ้อมรถไปอีกฝั่งและวางอีกฝ่ายลงบนเก้าอี้ข้างๆคนขับอย่างเบามือ เขาเกรงว่าหากให้อีกฝ่ายไปนอนเบาะหลังจะทำให้อีกฝ่ายกลิ้งตกเบาะเวลารถเลี้ยว บรรจงปรับเบาะนั่งให้พนักพิงเอนลงเพื่อเหมาะแก่การนอนและคาดเข็มขัดให้อีกครั้งหนึ่ง

โทนี่เพียงแค่ขยับตัวนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ทำให้สตีฟเผลอยิ้มออกมาบางๆ

พอจะพยศ ก็พยศซะ แต่พอจะหลับ ก็หลับแบบไม่รู้เรื่องเลยแฮะ...

“ฝันดี โทนี่”

สตีฟปิดประตูฝั่งนั้นให้เบาที่สุด เดินกลับไปนั่งที่คนขับ และขับรถออกไปช้าๆ

.

.

.

            “โทนี่...โทนี่ ถึงแล้วนะโทนี่”

            สตีฟเขย่าตัวปลุกอีกฝ่ายเบาๆหลังจากที่รถได้ขับมาจอดที่หน้าคอนโดของเขาแล้ว

            “....อืม....” โทนี่ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวงีย

            “โทนี่ เมื่อกี๊คุณพอตส์โทรมา ผมถือวิสาสะรับไปแล้ว เธอบอกว่าเธอกำลังจะมารับคุณ คุณไปรอเธอบนห้องผมก็ได้นะ” สตีฟอธิบาย

            “อืม....”

โทนี่จำใจตื่นขึ้นมาเต็มตาก่อนจะปลดเข็มขัดและลงจากรถแต่โดยดี สตีฟเห็นดังนั้นจึงล็อครถและเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องของตน

“ห้องนายนี่กว้างดีนะ แต่ไม่ค่อยจะมีอะไรเลย”

“เป็นที่พักชั่วคราวน่ะ อีกอย่างผมก็เพิ่งกลับมาจากภารกิจของหน่วยชิลด์ที่อัฟกานิสถานเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เอง”

สตีฟเดินไปรินน้ำมาให้อีกฝ่ายที่ยอมรับไปดื่มแต่โดยดี ก่อนที่จะทำการสำรวจห้องของเขาต่อ

“งานเยอะจริงนะแคป”

            โทนี่แซวเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษเสก็ตภาพหลายใบที่วางเกลื่อนอยู่บนเตียง และเจ้าตัวก็ไม่รีรอเลยที่จะหยิบมาดู ซึ่งสตีฟก็ไม่ได้คิดจะห้ามปรามอะไร

            “เพิ่งรู้ว่านายชอบวาดภาพ” โทนี่ถามทั้งๆที่สายตายังคงไม่ละไปจากรูปวิวที่ตนถืออยู่

            “มันก็คงเหมือนกันกับงานอดิเรกล่ะมั้ง อย่างของคุณก็เป็นสร้างชุดไอรอนแมนน่ะ” สตีฟยิ้ม

            “อันนั้นฉันเลิกไปแล้ว” โทนี่ยิ้มบางๆ

            “ดีแล้ว คุณยิ่งชอบฝืนสังขารตัวเองสร้างชุดเกราะหามรุ่มหามค่ำอยู่ ผมยังไม่อยากเห็นบุรุษเกราะเหล็กต้องเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะสร้างชุดเกราะให้ตัวเองใส่หรอกนะ” สตีฟพูดกลั้วหัวเราะ

            “.......”

            “พวกเราทุกคนเป็นห่วงคุณนะโทนี่ อเวนเจอร์จะไม่สมบูรณ์ถ้าขาดไอรอนแมน” สตีฟยิ้ม

            “ขอโทษนะสตีฟ.... ต่อไปนี้จะไม่มีไอรอนแมนอีกแล้วล่ะ” โทนี่ยิ้มฝืดๆ

            “คุณ...หมายความว่ายังไงน่ะโทนี่” สตีฟมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

            “ฉันจะเลิกเป็นไอรอนแมนแล้วล่ะสตีฟ... ต่อไปนี้ฉันจะเป็นแค่ โทนี่ สตาร์ก คนธรรมดา” โทนี่ยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่สตีฟคิดว่ามันดูโล่งใจ

            “ตะ แต่ ทำไมล่ะ” สตีฟสับสน ทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงอยากจะเลิกเป็นไอรอนแมน

            “ฉันมีครอบครัวแล้วสตีฟ ฉันมีเพ็พ ผู้หญิงที่เพอร์เฟ็คที่สุดสำหรับฉัน และฉันก็รักเขา.... หลังจากศึกกับแมนดารินเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน ทำให้ฉันรู้ว่าฉันเสียเพ็พไปไม่ได้ สตีฟ.... เพ็พคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันตอนนี้ นายเข้าใจฉันไหมสตีฟ....”

            สตีฟเบิกตากว้าง เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถพูดอะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกของตนได้มากขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาแค่ 6 เดือนจะทำให้โทนี่เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

            “แต่....ทีมอเวนเจอร์” สตีฟฝืนพูดออกไปอย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ

            “อเวนเจอร์อยู่ได้โดยไม่มีฉันสตีฟ อีกอย่าง ถึงฉันจะไม่ได้เป็นไอรอนแมนแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นที่ปรึกษาของอเวนเจอร์อยู่นะ ฉันจะคอยสนับสนุนพวกนายเสมอ” โทนี่ยิ้มให้เขาและตบบ่าเขาเบาๆ

            “ผม....” สตีฟพยายามจะพูด แต่เขาพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนกับว่าน้ำตามันรื้นออกมาที่ขอบตาอย่างช่วยไม่ได้ๆ

“ไม่ต้องพูดแล้ว”

โทนี่เอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากของสตีฟเบาๆ ก่อนที่จะกอดสตีฟแน่น

“....ผมคงจะ คิดถึงคุณมาก”

ในที่สุดสตีฟก็หาเสียงของตัวเองเจอ เขากอดตอบร่างสันทัดอีกฝ่าย ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังสั่นเทิ้มเพียงใด และรับรู้ว่าสัมผัสจากมือของอีกฝ่ายที่กำลังลูบหลังเขาอยู่ทำให้เขาสงบลงได้อย่างน่าประหลาด

ปิ๊นๆ

เสียงแตรดังมาจากหน้าคอนโน ทำให้ทั้งสองรีบผละออกจากกัน และสตีฟเพิ่งรู้ตัวว่าเขาหน้าแดงเพียงใด

“สงสัยว่าเพ็พจะมารับฉันแล้วล่ะ....” โทนี่ยิ้ม

“ลาก่อน โทนี่” สตีฟยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดในชีวิตที่เขาจะมอบให้ใครได้

“ไม่ใช่ลาก่อนสตีฟ แล้วเจอกันต่างหาก” โทนี่ยิ้มก่อนจะเดินมาหอมแก้มเขาเบาๆ แล้วเปิดประตูห้องเขาออกไป

“แล้วเจอกันโทนี่....คนที่ผมแอบรัก”

สตีฟพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะที่เอามือลูบแก้มที่ยังคงรู้สึกถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่จางๆ

--END--

TALK

            นี่เราแต่งอัลไลลลลลลลล #กรีดร้องล้านๆๆๆๆๆครั้ง อ่านเองก็งงเอง นี่เราแต่งอัลไลลลลลล !!!!

ฟิคนี้คิดมาตั้งแต่ดู Ironman3 จบหมาดๆเลยค่ะ เรารู้สึกว่าเพ็พเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับโทนี่ สตาร์กที่สุดแล้ว แต่เราก็ดันเป็นสาย Stony เลยเอามาเขียนเป็น Stony แบบมี Pepper แทรกค่ะ

            ไม่รู้ว่าถูกใจกันรึเปล่านะคะ บอกตามตรงเลยว่าปั่นฟิคนี้ด้วยวามอืดดดด เราดองไว้ 1 อาทิตย์ ถึงได้ออกมาเป็นรูปนี้ LOL ตอนแรกนึกว่าจะแต่งไม่จบซะแล้ว เพราะเราเริ่มเอะใจว่านี่มันเป็นShort Ficที่ยาวมากกกกกก ตั้ง 10 หน้า word แหนะ ยาวกว่าตอนแต่งฟิคยาวในแต่ละตอนอีก

            ขอขอบคุณโดจิน Parallel ของพี่ SEY นะคะ ที่ทำให้เราเกิดอาการฟินคู่ Stony ขึ้นมาอีกครั้งจนต้องแต่งฟิคนี้ออกมา แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์นักเพราะฟิคนี้ก็เป็นฟิคแรกของเราสำหรับคู่นี้ แต่ก็อยากให้ชอบกันนะคะ



 
นี่คือต้นฉบับนะคะ>>> http://charlotteschaos.livejournal.com/371976.html

[Title] Snack
[Author] charlotteschaos
[Pairing] Hannibal/Will
[Fandom] Hannibal NBC (TV)
[Rating] NC-17
[Warnings] Slash, dubcon
[Disclaimer] No profit is being made off of this story. Characters belong to NBC, Bryan Fuller, and Thomas Harris.
[Genre] angst/dark/pwp
[Summary] Inspired by the series, a notion of an interaction in one of Hannibal and Will’s “chats.”
[Summary] Note, this is inspired by the show, not the book so it will read with similar characterizations but obviously the show is its own animal. If you haven’t seen it, get started.
[Word Count] 1700
[Beta] prettyclever

 [Thai translation by] Bepine



หมายเหตุ1 : เป็นฟิคแปลเรื่องแรกค่ะ ไม่ได้แปลตรงตัวแป๊ะๆ และบางคำก็อาจมีแปลผิดได้นะคะ T__T #ไม่ไหวกับตัวเองอย่างแรง จะอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษเลยก็ได้ค่ะ

 หมายเหตุ2 : ได้ทำการขออนุญาติผู้แต่งมาแล้วนะคะ จิ้ม




[วิลกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังในออฟฟิตของคุณหมอฮันนิบาลค่ะ]

.

.

.

.

“ไม่ครับ ดร.เล็คเตอร์ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมพูดเลย” วิล เกรแฮม ถูมือทั่วใบหน้าของเขา ในขณะที่เก้าอี้หนังก็ส่งเสียงตามการขยับตัวของเขา ชักสงสัยว่าจิตแพทย์คนนี้ชอบที่จะใช้เก้าอี้กระตุ้นอารมณ์ของคนอื่นหรือย่างไร นี่มันเป็นการทดสอบความอดทนของเขาด้วยหรือเปล่า?

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับ ฮันนิบาล เล็คเตอร์ ให้ความรู้สึกเหมือนการตรวจสอบอะไรซักอย่างอย่างละเอียด บางที....มันคงจะเป็นผลจากอาชีพของเขาที่เป็นแพทย์มาก่อนที่จะมาเป็นจิตแพทย์

วิลมีอิสระที่จะไม่คุยหรือปรึกษากับ ดร.เล็คเตอร์ แต่เขามาหาคนๆนี้เพื่อที่จะพูดคุยและปรึกษาด้วยเสมอ เขาเรียก ดร.เล็คเตอร์ ว่าหมอ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในการรักษาอย่างเป็นทางการนัก มันช่างเป็นความแตกต่างที่ค่อนข้างจะน่าสงสัยและสับสน นอกจากนี้เขายังต้องพบกับ ดร.เล็คเตอร์ ในช่วงเวลาที่มีธุระมากมาย แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ยังพอที่จะเป็นเพื่อนกันได้

เพื่อน....พวกเขาก็ไม่ใช่เพื่อนกันเสียทีเดียว เพราะถ้าพวกเขาเป็นเพื่อนกันละก็ วิลจะไม่เรียกอีกฝ่ายว่า หมอ

วิลบอกอีกฝ่ายว่า ดร.เล็คเตอร์ เป็นคนที่เขาอยากจะปรับทุกข์ด้วยมากที่สุด มากกว่าใครทั้งนั้น เขาชอบที่จะหลอกตัวเองว่าสิ่งที่ ดร.เล็คเตอร์ ปฎิบัติกับเขามันไม่ใช่การกระทำในแบบปกติที่จิตแพทย์กระทำต่อคนไข้ เพราะวิลรู้จักทุกทริก เขาเข้าใจวิธีการทางจิตแพทย์ที่จะทำให้คนไข้เปิดใจ แต่วิธีการของ ดร.เล็กเตอร์ที่ใช้กับเขามันไม่ใช่

ดร.เล็กเตอร์มักจะคอยอยู่ข้างๆเขา และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจดีว่าวิลได้ผ่านอะไรมาบ้าง สำหรับวิล มันทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น แต่หลังจากที่วิลออกจากออฟฟิตของคุณหมอ เมื่อประตูออฟฟิตของอีกฝ่ายปิดลง วิลกลับรู้สึกเหมือนมีกำแพงขนาดมหึมามากั้นเขาไว้ ซึ่งวิลก็บอกไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไรและเขาก็เหนื่อยเกินไปที่จะพยายามเข้าใจมัน

นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกปลอดภัยเมื่อยู่กับ ดร.เล็คเตอร์  เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็นพวกemote (พวกที่แสดงความรู้สึกออกมามากจนเกินจริง) ต่างจากในคนปกติมักจะกระตือรือร้นที่จะพูดคุยมากกว่ารับฟัง

เป็นรอบหนึ่งปีที่ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับคนๆนี้ วิลไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงของตัวเองในหัวเขาด้วยซ้ำไป

ดูเหมือนว่า ดร.เล็คเตอร์ ต้องการจะฟังเนื้อหามากกว่าการเสนอความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับการสืบสวนคดีของเขา

ทั้งๆที่มันควรจะเป็นสิ่งที่วิลต้องรำคาญแท้ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ ตรงกันข้าม มันกลับให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ

พวกเขานั่งบนเก้าอี้หนังสีดำที่อยู่ตรงข้ามกันโดยที่โน้มตัวไปข้างหน้ากันทั้งคู่ ขณะที่วิลรับรู้ถึงเสียงน่ารำคาญที่เกิดจากเก้าอี้ของเขาเอง และ ดร.เล็คเตอร์ ไม่ได้เข้าใจถึงความเงียบอันสมบูรณ์แบบของเก้าอี้ที่เจ้าตัวนั่งเลยแม้แต่น้อย(อธิบายเป็นคำพูดไทยให้สละสลวยไม่ออกจริงๆค่ะ)

ดร.เล็คเตอร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขา แล้วก้าวเท้าอย่างนุ่มนวลมาที่เก้าอี้ของวิล

แปลก....โดยปกติแล้วเมื่อวิลกำลังรู้สึกจมดิ่ง ดร.เล็คเตอร์จะเดินออกจากห้องไป ให้ห้องนี้แก่เขา ให้เขาได้อยู่ตามลำพัง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ดีกว่า ต้องทำอย่างไรวิลจึงจะสามารถกลับขึ้นมาได้

วิลหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกอัดแน่นในหน้าอกของเขา นี่ไม่ใช่รูปแบบแบบแผน หากแต่เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ทั่วไป วิลแสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมา มีคนๆหนึ่งเข้ามาใกล้เขา สัมผัสเขา มอบความรู้สึกผ่อนคลายให้ ความรู้สึกกังวลที่มีอยู่ถูกหอบออกไป มันทำให้เขาสามารถบอกได้ว่าเขาโอเค

ดร.เลคเตอร์คุกเข่าลงด้านหน้าของวิล เริ่มสังเกตและประเมินเขาด้วยหลักจิตวิทยาพื้นฐาน

“วิล คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง” ลมหายใจของ ดร.เล็คเตอร์ผสมปะปนกับกลิ่นไวน์ การดื่นแอลกอฮอล์ในที่ทำงานไม่ถือเป็นมืออาชีพซะเลย แต่นี่มันก็เลยเวลางานของอีกฝ่ายมาแล้ว นี่อีกฝ่ายกำลังเมาอย่างนั้นหรือ?

ซุ่มซ่าม....เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำลายอาณาเขตป้องกันของ ดร.เล็คเตอร์โดยสมบูรณ์ นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้กับวิล เขาต้องการเค้นหาความจริงหรืออะไรบางอย่างจากอีกฝ่าย ต้องการทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แต่ถึงกระนั้นวิลก็ไม่ใช่คนหัวรุนแรง

วิลวางมือของเขาลงบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาจับจ้องมันและคาดว่าจะเจอความกังวล แต่ใบหน้าของ ดร.เล็คเตอร์ พยายามสังเกตแม้แต่สิ่งเล็กน้อยๆที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

วิลโน้มตัวไปข้างหน้าจนริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันในเวลาอันสั้น... มันไม่ใช่จูบแต่เป็นเหมือนการกระทำทีเล่นทีจริงเสียมากกว่า แต่จูบนั่นก็ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

กระนั้นการแสดงออกของ ดร.เล็คเตอร์ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มีอาการตื่นตกใจหรือคิดจะผลักไสเขาแต่อย่างใด แต่วิลรู้สึกว่าคิ้วของ ดร.เล็คเตอร์จะขมวดน้อยๆ ซึ่งวิลก็จำไม่ได้ว่าเขาเห็นมันจริงๆไหมหรือว่าเขาตาฝาดไปเอง

แต่อยู่ๆด้วยความเร็วอันไม่น่าเชื่อ มือของ ดร.เล็คเตอร์ก็โน้มคอวิลลงมาบดขยี้ริมฝีปากเข้าด้วยกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้อ่อนโยนหรือปัดผ่านเหมือนครั้งก่อน  ลิ้นร้อนถูกรุกรานเข้ามาในโพรงปากของวิล มันชื้นแฉะและอ่อนโยน ทั้งยังกวาดต้อนไปทั่วแต่ก็ไม่ได้รุกรานจนทำให้รู้สึกขยะแขยงเลยซักนิด ตรงกันข้าม....มันเหมือนการเชื้อเชิญ....

แก้มของวิลรู้สึกเหมือนถูกเผา มันร้อนเอามากๆ นี่ไม่ใช่สิ่งเขาต้องการจากการกระทำเพื่อทดสอบอีกฝ่ายเลยซักนิด ทุกอย่างมันไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการจากการฝ่าเกราะป้องกันของอีกฝ่าย วิลรู้สึกตัวว่าเขาเริ่มสั่น มันไม่มีความรักในอ้อมกอดของ ดร.เล็คเตอร์ มีแต่ความรุนแรง เอาแต่ใจ และป่าเถื่อน แต่น่าแปลกที่วิลเริ่มจะเคลิ้มไปตามความรู้สึกนั้นและยังโอบกอด ดร.เล็คเตอร์ไว้เหมือนเป็นที่พึ่ง

ไม่....นี่ไม่ใช่การเชื้อเชิญ.....แต่นี่เป็นความต้องการ

วิลผละริมฝีปากออก เขาเกลียดตัวเองที่อ่อนแอและคล้อยตามไปกับความรู้สึกแบบนี้ ป้อมปราการของเขาที่พังทลายลง และเขาเองที่เป็นคนเปิดประตูให้ ดร.เล็กเตอร์เข้ามาเพราะความเชื่อใจ และดร.เล็คเตอร์ก็ทำการล่อลวงทางกายภาพกับเขา....(ซึ่งมันได้ผลซะด้วยสิ)

เชื่อใจ....เขารู้เรื่องที่เกี่ยวกับ ดร.เล็คเตอร์เพียงพอแล้วเหรอ เลยไว้วางใจผู้ชายคนนี้?

ตัวเขาเองไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนด้วยซ้ำ...หรือจริงๆแล้วเขาไม่คิดจะใช้เหตุผลทุกเหตุผลกับผู้ชายคนนี้ก็เป็นได้

นี่คือจิตใต้สำนึกของตัววิลเองอย่างนั้นหรือ?

ดร.เล็คเตอร์เป็นศัลยแพทย์ที่มีฝีมือ เขาจัดการแกะกระดุมแต่ละเม็ดบนเสื้อของวิลอย่างประณีตและรวดเร็ว จากนั้นมืออุ่นนั้นก็วางลงบนหน้าอกของวิล นิ้วมือของอีกฝ่ายวางลงตรงตำแหน่งหัวใจของวิล ขณะที่ค่อยๆเคลื่อนต่ำลง ลากผ่านไปในแต่ละจุด วิลเคยคิดจะคุยเรื่องthe Chesapeake Ripperกับอีกฝ่าย สัมผัสของ ดร.เล็คเตอร์ กระตุ้นความคิดของวิลเกี่ยวกับฆาตกรอย่างน่าประหลาด

หัวนมของวิลถูกบีบและ ดร.เล็คเตอร์ เลื่อนตัวลงเพื่อให้ใบหน้าของเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกับมัน

วิลสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามหาคำพูดมาหยุดยั้งสถานการณ์นี้ แต่ดูเหมือนว่าสมองของเขาจะไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เลยในเมื่อร่างการของเขากำลังถูกกระตุ้นอย่างหนัก

ก่อนที่วิลจะได้พูดอะไร ดร.เล็คเตอร์ก็จัดการหยุดเขาด้วยการกระทำอันแสนหยาบโลน โดยดึงกางเกงของวิลลงอย่างรวดเร็วและประกบปากกับเขา มันทำให้เขาไม่สามารถขัดขืนหรือกระทำการต่อต้านได้อีกต่อไป

สัมผัสของ ดร.เล็คเตอร์ ที่โจมตีเขาอยู่นั้นมันช่างเรียบง่าย แต่กลับแม่นยำและเน้นตรงจุดที่จะทำให้ร่างกายของวิลนั้นเกิดปฎิกิริยาอย่างยิ่งยวด วิลรู้สึกอับอาย แม้ว่าในหัวของเขาจะพยายามปฎิเสธสัมผัสเหล่านี้ แต่ร่างกายของเขามันทำตรงกันข้าม มันกำลังตอบสนอง...

ดร.เล็คเตอร์ถอนจูบออก วิลไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่เขาคาดหวังหรือไม่ หัวคิ้วของเขามุ่นลงเล็กน้อย และเมื่อวิลสบตากับอีกฝ่าย เขาพบกับดวงตาสีน้ำตาลเกือบแดงที่ไม่ได้ปรากฎแววขบขันหรือไม่พอใจเลยแม่แต่น้อย ที่จริงมันดูเหมือนกับว่า.....อีกฝ่ายกำลังหิว

ดร.เล็กเตอร์รูดซิปกางเกงของวิลลงอย่างแผ่วเบา และก่อนที่เขาจะตระหนักหรือประท้วงได้ ปากอุ่นๆของดร.เล็คเตอร์ก็จัดการกับแก่นกายของเขาไปเรียบร้อย มันกลืนกิน และขยับอย่างรวดเร็ว จนวิลรู้สึกเหมือนใกล้จะปลดปล่อย

วิลไม่ได้ต่อสู้หรือขัดขืนอีกต่อไป ตัวของเขาเหมือนจะละลายไปกับเก้าอี้ มีการสะดุ้งกับการดูดในบางครั้ง วิลจิกนิ้วของเขาลงบนเก้าอี้หนังที่เขานั่งอยู่ หัวใจของเขาเต้นถี่เหมือนคนที่พึ่งไปวิ่งแข่งมา มันไม่สำคัญแล้วว่าเขาต้องการจะปลดปล่อยออกมาหรือไม่ ดร.เล็คเตอร์รู้จักกลไกของร่างกายมนุษย์และรู้วิธีที่จะจัดการกับมัน

โดยปกติ ดร.เล็คเตอร์เป็นคนที่อ่านยาก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับดูเหมือนสัตว์ป่าที่มีความต้องการ ดร.เล็คเตอร์ยังไม่ต้องการจะให้วิลปลดปล่อย เขาต้องการจะกินบางสิ่งบางอย่างในตัววิล นี่คือการให้อาหาร.....

ในช่วงเวลาอันสั้นที่วิลเพลิดเพลินไปกับความหฤหรรษ์เหล่านี้ ร่างทั้งร่างของเขาขดเกร็ง และปลดปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปในโพรงปากของ ดร.เล็คเตอร์

คุณหมอจัดการกับพวกมันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เขาดูดกลืนอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอนปากออกจากแก่นกายของวิล ดร.เล็คเตอร์กวาดนิ้วหัวแม่มือที่มุมปากของเจ้าตัว ขณะที่ลิ้นของเขาเกลี่ยรอบริมฝีปากของตัวเองเหมือนว่าเขากำลังลิ้มรสมัน

วิลมองอีกฝ่าย หอบอย่างหนัก และหัวสมองเขากำลังตื้อไปหมด

“อย่าตกใจวิล นี่เป็นธรรมชาติ” ดร.เล็คเตอร์ดูจะไม่ตกใจเลยแม่แต่น้อย

“ผมไม่ได้ตกใจ”

ดร.เล็คเตอร์จ้องวิล มุมปากของเขากำลังยกยิ้มขึ้นน้อยๆ และวิลไม่แม้แต่จะพยายามหาทางออกไปจากสถานการณ์ตอนนี้

วิลยกมือขึ้นป้องใบหน้าของเขา ควบคุมลมหายใจของตัวเองให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก

“ผมแค่....ไม่คิดว่าคุณจะเป็น....ผมไม่ได้....ดึงดูดเพศชาย”

“วิล” ดร.เล็คเตอร์โบกมือกลางอากาศ “เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเรา การเชื่อมต่อหรือทำตามแบบแผนของกลุ่มคนกลุ่มใหญ่นั้นมันไร้ประโยชน์ และผมจะไม่ปล่อยให้ความคิดเรียบง่ายแบบนี้มาพรากผมออกจากสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข”

“นั่นมันสำหรับคุณ แต่ไม่ใช่สำหรับผม” วิลดันอีกฝ่ายออก

ดร.เล็คเตอร์ถอยกลับไปที่เก้าอี้ของตัวเอง ดวงตาของอีกฝ่ายเหมือนนกที่กำลังจับจ้องมาที่วิล ทำให้วิลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนอนน้อย

“นี่คงไม่รบกวนคุณหรอกนะวิล” ดร.เล็กเตอร์ถาม

“นี่มันทำให้ผมโล่งใจจริงๆ” วิลระบายลมหายใจออกจากปอด ขณะที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อของเขา

“คุณไม่รู้สึกสนุกกับมันเลยหรือ?” อีกฝ่ายถาม

วิลตวัดสายตาของเขาขึ้นไปมอง ดร.เล็คเตอร์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา และพวกเขาก็กำลังกลับไปอยู่ในรูปแบบปกติที่คุ้นเคย

“ผมไม่ทราบ” วิลตอบ

ดร.เล็คเตอร์กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง

“งั้นก็มาเริ่มกันอีกครั้งเถอะ”

 End

จบค่ะ ^^" เราไม่แน่ใจนะคะว่าท่อนสุดท้ายที่ว่า Let’s move on then มันแปลว่า มาเริ่มกันเถอะ หรือเปล่า บอกตามตรงว่านี่แปลแบบเกือบจะมั่วเลยค่ะ กากภาษาอิ้งมาก แต่พอดีว่าต้องแปลให้เพื่อนอ่าน หวังว่าจะชอบกันนะคะ ผิดตรงไหนบอกกันด้วยนะคะ T[]T จะได้รีบมาแก้ไขให้ค่ะ

 
Author : Bepine

Title : The first time

Pairing : Zachary Quinto/Chris Pine

YAOI คือ ชายรักชาย นะคะ

หมายเหตุ : นี่คือเรื่องที่แต่งขึ้น จึงไม่เกี่ยวกับความจริงแต่อย่างใด และขออภัยแฟนๆมา ณ. ที่นี้ด้วยค่า /(_ _)\

.

.

.

.

.

            แซกเคยแปลกใจ...

เขาแปลกใจกับการกระทำเปิ่นๆของเพื่อนนักแสดงที่ชื่อว่าคริส ไพน์ ผู้รับบทกัปตัน เจมส์ ที เคิร์ก ในเรื่องสตาร์เทร็กด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นทำจมูกสตั๊นแมนหัก(แม้ว่าจะไม่โดนเอาเรื่องก็ตาม)

ชนทำเก้าอี้กัปตันจนเกือบพัง

และที่สำคัญ.....ทีมงานพบรอยฉี่บนชุดของเขา!!

แซกยอมรับว่าในตอนแรกเขาไม่ค่อยจะรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้ซักเท่าไหร่ ก็นะ เจ้าตัวมีเรื่องให้ปวดหัวน้อยซะเมื่อไหร่ แต่เพราะบทของเขาที่เล่นเป็นสป็อคทำให้เขาต้องยุ่งเกี่ยวกับคนๆนี้จนได้ และพอมาได้ลองคุยกันซึ่งๆหน้าแล้วแซกก็ได้ค้นพบว่า.....

คริส ไพน์ เป็นหนุ่มน้อยไม่สิ! ชายหนุ่มที่น่ารักน่าเอ็นดูเอาเสียมากๆ!!!

“ว่าไงแซก ร่วมงานกับคริสเป็นยังไงบ้างล่ะ” เจ.เจ. แอบรัมส์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เดินเข้ามาตบบ่าแซกเบาๆในช่วงพักเบรกการถ่ายทำ

“ก็...ดีนะครับ คริสเขาก็น่ารักดี...” แซกตอบตะกุกตะกัก เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเอาแต่จ้องคริสตลอดช่วงเบรกนี่แหละ

“ใช่ไหมล่ะ! ขนาดสตั๊นแมนที่โดนคริสทำจมูกหักไปยังไม่กล้าเอาเรื่องเลย พอเห็นสายตาสำนึกผิดของหมอนั่นเข้า ฮ่าๆๆ” ผู้กำกับขำก๊าก

“ฮ่ะๆ เขาคงไม่ได้ตั้งใจละมั้งครับ” แซกยิ้มเหยๆ

“พวกนายน่าจะลองคุยกันนอกจอดูนะ ไม่ใช่จะคุยกันแต่ในจออย่างเดียว ฉันแทบไม่เคยเห็นพวกนายคุยกันนอกจอเลยนะนอกจากเรื่องเตี๊ยมบทกันเนี่ย นายเองก็ชอบคริสไม่ใช่หรือไง” เจ.เจ.ยิ้มบางๆก่อนจะขอตัวเดินไปดูฉากต่อ ทิ้งให้แซกยืนนิ่งและขบคิดอย่างหนักเกี่ยวกับแผนการเริ่มต้นของเขา

“ฉันขอนั่งด้วยคนสิ” แซกยิ้มเป็นมิตรให้กับคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวคนเดียวในช่วงพักกินข้าว

“เอาสิ” คริสยิ้มให้ ก่อนจะเขยิบมาข้างๆให้อีกคนได้นั่ง

“เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ” แซกเปิดประเด็น

“ฮ่าๆๆ ใช่ ฉันนึกว่านายเป็นสป็อคจริงๆที่เกลียดขี้หน้าฉันไปแล้วซะอีก” คริสหัวเราะร่วน ขณะที่เจ้าตัวขยับตัวเหยียดขาข้างหนึ่งออกไปข้างหน้า

“.....” แซกรู้สึกเหมือนถูกจับได้ เขาเอามือมาประสานกันไว้ข้างหน้าบนหน้าตัก ขณะที่ในหัวกำลังพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองไปด้วย

“แต่ฉันก็สมควรจะถูกเกลียดขี้หน้าอยู่ละนะ” คริสพูดต่อเบาๆ ขณะที่เงยหน้ามองออกไปข้างหน้า

“ไม่ใช่นะ! ฉันก็แค่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง...” แซกเลือกที่จะก้มหน้าลงเล็กน้อย โชคดีชะมัดที่ช่างทาแป้งให้เขาหนาน่ะ ไม่อย่างนั้นคริสคงต้องเห็นว่าหน้าเขาแดงแน่ๆ

“จริงดิ ฉันดูน่ากลัวขนาดนั้นเลย?” คริสหันมามอง ตาสีฟ้าโตเหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก

“ก็นายดูร่าเริงตลอดเวลานี่นา และก็มีแต่คนรุมล้อมนายเต็มไปหมด” แซกตัดสินใจค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆ และเขาตระหนักได้ว่าเขาคิดผิด เพราะทันทีที่เขาได้สบกับดวงตาสีฟ้าสวยของอีกฝ่ายที่กำลังทอประกายระยับผนวกกับรอยยิ้มน่ารักๆบนใบหน้าของเจ้าตัวมันทำให้แซกรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ

บ้าจริง.....หัวไมหัวใจต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วย

“โล่งอก ฉันนึกว่านายเกลียดขี้หน้าฉันซะอีก ก็ตั้งแต่ฉันมาแสดงที่นี่ฉันก็ก่อเรื่องตลอดเลย” คริสยิ้มเฝื่อนลงในตอนท้ายประโยค ดวงตาที่เคยสดใสกลับดูหมองลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนลูกหมาที่กำลังหงอยอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่มีใครเกลียดนายลงหรอกคริส” แซกยิ้มบางๆ เขายื่นมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

“.....”คริสมองแซกอย่างงงๆก่อนจะยิ้มออกมาบางๆและเอนตัวไปพิงไหล่ของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ

End or TBC.

.

.

.

.

.ฟิคสตาร์เทร็กครั้งแรกในชีวิต ปกติอ่านของคนอื่นตลอดค่ะ ฮ่าๆๆ ติชมกันได้ค่ะ จะได้ปรับปรุงตัวในครั้งหน้า ที่จริงจะให้เป็นฟิคtiny buttนะคะ แต่พอดีว่าเราไม่มีเวลา เลยเอาใสๆน้อยๆมาให้อ่านกันก่อน ไว้ว่างๆจะแต่งtiny buttมาให้ยลกันนะคะ

จบท้ายด้วยคริสตอนเด็กค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=Y3rvzs7WOKs

จิ้มเบาๆไปดูนะคะ คริสน่ารักมากเลยยยย >///<


Picture
สืบเนื่องมาจากรูป นี้ค่ะเลยได้ฟิคนี้ออกมาก (ฮา)