“Take Care”

Author : Bepine

Pairing : Captain America/Tony Stark (Steve/Tony) or Pepper/Tony

Movies : Ironman3 , Avenges , Captain America

Rate : PG , Drama(?)

            สตีฟกำลังไล่สายตามองรายชื่อแต่ละรายชื่อที่ถูกเม็มไว้ในมือถือรุ่นอาม่าของเขา... เพราะตอนนี้เขากำลังต้องการความช่วยเหลือ...

            ประมาณ 4 ชั่วโมงก่อง สตีฟจำเป็นต้องกลับไปรายงานตัวกับ ผอ.หน่วยชิลด์ หรือ นิค ฟิวรี่ ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ นั่นเป็นสาเหตุที่เขาต้องเดินทางเข้ามาในนิวยอร์กหลังจากที่พยายามจะหนีจากที่นี่มาเสียนาน หลังจากนั้นอีก 15 นาที ทันทีที่เขารายงานตัวเสร็จ สตีฟเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเขาและพบว่ามันถูกชำแหละเป็นชิ้นๆโดยช่างเครื่องของหน่วยชิลด์ที่อ้างว่านี่เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ก่อนที่สตีฟจะได้รับตั๋วรถโดยสาร Grayhound พร้อมกับคำอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพมาแทน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สตีฟจำต้องละทิ้งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจมานั่งรอรถโดยสารอยู่ที่สถานีแบบนี้

            ถ้าดูตามกำหนดในตั๋วแล้ว ที่จริงเขาควรจะได้ขึ้นรถไปตั้งแต่เมื่อ 3 ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่นี้ ว่านี่เป็นตั๋วรถโดยสาร Grayhound ดังนั้นเรื่องการตรงต่อเวลาหรือการที่รถจะรับคนได้หรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

            สตีฟยังจำตอนที่เขาลองนั่งรถโดยสารครั้งแรกได้ จำตั๋วรถโดยสาร Grayhound ที่อุตส่าห์จองไว้เสียดิบดีได้ ยังจำได้ขึ้นใจเลยว่าตอนนั้นเขาต้องรอรถเลยนัดในตั๋วมาตั้ง 2 ชั่วโมง!!! และนั่นทำให้สตีฟลองศึกษาถึงกระบวนการทำงานของรถโดยสารชนิดนี้ดู และเขาก็ได้พบข้อเสียที่ว่า...

            - ไม่มีการรับรองความปลอดภัยและความตรงต่อเวลา ดังนั้นเมื่อวางแผนใช้บริการ Greyhound ต้องสำรองเวลาในกรณีที่รถโดยสารล่าช้าด้วย เพราะ Greyhound จะไม่รับผิดชอบต่อการล่าช้าของรถโดยสารไม่ว่ากรณีใดๆ

- ไม่รับรองที่นั่งบนรถ แม้ว่าคุณจะมีตั๋วโดยสารที่ระบุหมายเลขรถนั้น ในวันที่โดยสารนั้นก็ตาม ดังนั้น หากคุณไปถึงสถานีก่อนเวลา แต่รถโดยสารเต็มแล้ว ท่านต้องรอรถเที่ยวต่อไป ซึ่งในบางครั้งอาจห่างกันถึง 6 ชั่วโมง

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สตีฟถอยมอเตอร์ไซค์ด้วยเงินจากการทำงานอันน้อยนิด!!

แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกที่ทำให้วันนี้เขาต้องมานั่งรถโดยสารอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ และดูเหมือนว่าพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเขามากขึ้นกว่าครั้งก่อนโดยการบันดาลให้รถโดยสาร Grayhound คันที่ผ่านมา ‘เต็มหมด!!!’

และนี่แหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สตีฟต้องนั่งแกร่วรอรถมาแล้วกว่า 4 ชั่วโมง!!!

.

.

.

.

คลินท์ บาร์ตัน

ไม่ล่ะ เห็นนิคบอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำภารกิจอยู่กับบรูซ

นาตาชา

ไม่ล่ะ ไม่เอาดีกว่า

นิค ฟิวรี่

ไม่มีทาง! ไม่รู้ช่วยเสร็จจะให้เขาไปทำงานอะไรอีกรึเปล่า

สตีฟไล่มองรายชื่อแต่ละคนด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้าขณะที่กดเลื่อนหน้าจอดูรายชื่อต่อไป ดูท่าว่าเขาคงจะไม่ได้กลับบ้านซะแล้วหล่ะมั้ง

โทนี่ สตาร์ก

แถบรายชื่อถูกหยุดลงตรงรายชื่อสุดท้ายในมือถือ

สตีฟกำลังลังเล เขาควรโทรไปหาอีกฝ่ายหรือเปล่า ประสบการณ์ครั้งแรกของพวกเขาทั้งสองคนมันไม่ได้ดีมากนัก ออกจะเป็นไปในทางที่เลวร้ายด้วยซ้ำไป แม้ว่าตอนจบจะจบลงด้วยดีก็เถอะ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย พวกเขาทำเพียงแค่แลกเบอร์กันเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้โทรหากันละกันเลยซักนิด และตอนนี้...ตอนที่เขากำลังต้องการความช่วยเหลือแบบนี้ อีกฝ่ายจะว่างมาช่วยเขาหรือ? ก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงประธานบริษัทที่ป่านนี้คงกำลังพัฒนาโปรเจคสำคัญบางอย่างอยู่

สตีฟถอนหายใจ เตรียมตัวหยิบโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงบางคนเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ของเขาเอง

ฮัลโหลแคปซิเคิล! โทษทีนะที่รับช้า ว่าแต่นายโทรมาหาฉันมีอะไรน่ะ

สตีฟสะดุ้งตัวโยน นี่เขาหลงกดโทรออกไปตั้งนานแล้วเหรอเนี่ย!

ฮัลโหลๆ อยู่ไหมเนี่ย แคป แคป กัปตัน!

เสียงของมหาเศรษฐี อัจฉริยะ เพลย์บอย (แถมยังใจบุญ?) ยังคงดังผ่านระบบลำโพงมือถือออกมาไม่หยุดจนสตีฟต้องยกมือถือขึ้นมาตอบกลับอย่างเสียไม่ได้

“ผมยังอยู่ พอดีตอนแรกผมไม่ได้ยินคุณ ขอโทษด้วยนะโทนี่” สตีฟกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ อดรู้สึกตื่นเต้นลึกๆไม่ได้

โอเค... นายยังอยู่ ว่าแต่มีอะไรเหรอ มีอะไรให้ฉันช่วยรึไงคุณปู่หวานเย็น โดนนิคใช้งานจนป่วยงั้นหรือ?

น่าแปลก เสียงแนวล้อเลียนขำๆของอีกฝ่ายแทนที่จะทำให้รู้สึกโมโหกลับทำให้สตีฟรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด เขาเปลี่ยนท่านั่งจากหลังตรงมาเป็นพิงพนัก ซึมซาบความห่วงใยที่แอบแฝงมากับประโยคพวกนั้น

“พอดีผมรอรบโดยสารมา 4 ชั่วโมงแล้วน่ะ แล้วก็ไม่มีท่าว่ารถจะมาเสียที แล้วคอนโดชั่วคราวของผมมันอยู่แถบชานเมือง คุณจะช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหม”

โอ้! เรื่องแค่นี้เองน่ะเหรอ โอเคๆ ได้ๆ ตอนนี้นายอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบบึ่งไปรับเลย

คำตอบรับของอีกฝ่ายทำให้สตีฟเผลอยิ้มออกมา โทนี่ สตาร์ก มักจะแคร์คนรอบข้างเสมออย่างที่เจ้าหน้าที่โคลสันเคยเล่าให้เขาฟัง

“ผมอยู่ที่สถานีGreyhound”

‘อ๋อ...งั้น ประมาณ 20 นาทีฉันคงไปถึง นายรอได้นะ’

“ผมรอได้ คุณรีบมาเถอะ”

‘โอเค ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ’

ตื้ด----

สตีฟมองจอโทรศัพท์ที่แสดงหน้าจอว่าอีกฝ่ายได้ตัดสายเขาไปแล้วอย่างเหม่อลอย

.

.

.

            สตีฟนั่งรออย่างใจเย็น พลางนับเวลาไปด้วยเงียบๆ เขารู้ว่านี่ก็เลยเวลาที่อีกฝ่ายคาดคะเนมาได้กว่า 20 นาทีแล้ว มันทำให้สตีฟอดที่จะกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าคิดถึงนิสัยของเจ้าตัวมันก็ทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาหน่อยนึง ยังไงเขาก็เป็นคนที่ต้องพึ่งอีกฝ่ายนี่นะ แถมพวกเขาก็เป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้สนิทกันขนาดว่าอีกฝ่ายจะต้องมาแคร์เขาด้วยซ้ำ จะไปหวังบริการรับส่งตรงเวลาแบบ E-service ได้อย่างไร

            สตีฟถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่หยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง....

            นี่มันก็ 46 นาทีแล้ว....โทนี่กำลังทำอะไรอยู่นะ....จะลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเขากำลังรออยู่.....

            สตีฟมองไปข้างหน้า พยายามเพ่งสายตาฝูงชนที่แออัดกันเพื่อรอรถโดยสาร ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้เขากำลังมองหาใครคนหนึ่งอยู่ ใครคนหนึ่งที่ไม่มีท่าทีว่าจะมาเสียที

            “ที่นี่คนเยอะกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”

            เสียงที่คุ้นหูดังมาจากเก้าอี้นั่งข้างๆทำให้สตีฟต้องรีบหันไปมอง และคนที่เขาเห็นกลับยิ่งทำให้เขาผงะยิ่งกว่า

โทนี่ สตาร์ก ในเสื้อกล้ามสีขาวที่คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีดำแบบมีฮู้ดสวม กับกางเกงขายาวสีดำที่สตีฟจำได้ว่าเป็นตัวที่อีกฝ่ายชอบใส่เสมอๆ กำลังนั่งอยู่ข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตาสีน้ำตาลกำลังมองตรงไปข้างหน้าในหมู่ฝูงชนที่คับคั่งนั่นอย่างเหม่อลอย

“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ผมไม่รู้ตัวเลย”

“ฉันเพิ่งจะมาถึงเมื่อกี้นี้เองสตีฟ ไม่น่าแปลกหรอกที่นายจะไม่รู้ตัว”

โทนี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขณะที่เบนสายตากลับมามองที่เขา มีเรียวชูกุญแจรถที่สตีฟไม่ต้องจ้องมากก็รู้ว่ามันคงไม่ใช่กุญแจของรถธรรมดาราคาถูกๆเป็นแน่

“เราไปจากที่นี่กันเถอะ คนเยอะชักทำให้ฉันปวดหัว”

อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินนำออกไปโดยไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลย

หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาอยู่บนรถเปิดประทุนที่อีกฝ่ายนำมาแล้ว โทนี่ก็ยังไม่เปิดปากพูดอีกเลย ไม่แม้แต่จะถามถึงที่ตั้งของคอนโดของเขาด้วยซ้ำ และเส้นทางที่กำลังมุ่งไปก็ไม่ใช่ทางที่จะไปคอนโดชั่วคราวของเขาด้วย แม้ว่าอยากจะทักท้วงแต่สตีฟเลือกที่จะเงียบและรอให้อีกฝ่ายยอมเล่าออกมาเองมากกว่า

ในที่สุดรถยนต์คันหรูที่พวกเขานั่งอยู่ก็จอดลง ที่ดิสนีย์แลนด์ปาร์ก

“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณชอบมาที่แบบนี้” สตีฟพูดขึ้นลอยๆขณะที่เดินตามอีกฝ่ายไปซื้อตั๋ว

“ก็แค่พาคุณปู่แถวนี้มาเปิดหูเปิดตาเท่านั้นเอง” โทนี่หันมายิ้มโชว์ฟันขาวให้ก่อนจะเดินนำลิ่วออกไปหลังจากได้ตั๋วแล้ว

“ผมว่าการมาสวนสนุกมันไม่ใช่การเปิดหูเปิดตาเท่าไหร่หรอกนะ” สตีฟเร่งตามอีกฝ่ายจนมาเดินข้างๆได้สำเร็จ

            “นายน่ะเคยสนใจอะไรรอบข้างบ้างไหมเนี่ยแคป”

            สตีฟสังเกตได้ว่าโทนี่ถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าจะไม่รู้สาเหตุแต่เขาก็เลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นมัน ยังไงซะเขาก็เป็นแค่เพื่อนนี่นา จะให้ยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากไปก็ไม่ได้

            “เห็นนิคบอกว่าช่วง 6 เดือนก่อนคุณมีปัญหากับผู้ก่อการร้าย” สตีฟอดที่ไม่ได้ที่จะลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย และก็พบว่าคิ้วเรียวนั้นกระตุกนิดๆ

            “....อืม.... แต่สุดท้ายเรื่องมันก็จบลงด้วยดีล่ะนะ” โทนี่ก้มหน้าลง

            “ผมดีใจนะที่คุณปลอดภัย”

            โทนี่เงยหน้าขึ้นมามองสตีฟอย่างงงๆก่อนจะค่อยๆเผยยิ้มออกมา

“ฮันแน่! แอบเป็นห่วงฉันละสิท่า คุณปู่หวานเย็น” โทนี่พูดเสียงล้อเลียน

“เอ่อ...กะ ก็คุณเป็นเพื่อนผมนี่ พวกเราเป็นทีมเดียวกันนะ และพวกเราก็ร่วมฝ่าอะไรมาด้วยกันมากมาย” สตีฟพูดตะกุกตะกัก ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าเขาแดงแค่ไหน ในใจก็นึกภาวนาอย่าให้อีกฝ่ายจี้จุดเขาต่อ

โชคดีสำหรับสตีฟที่โทนี่ไม่พูดอะไรต่อเพียงแค่ยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะหันหน้ากลับไปเท่านั้น

“นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว เรากลับกันเถอะ”

“อะ อื้ม”

สตีฟรับคำงงๆ เพราะพวกเขาเพิ่งจะเดินเข้ามาที่สวนสนุกได้ไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ และยังไม่ได้เดินชมหรือว่าเล่นเครื่องเล่นอะไรเลย แต่ก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายก็มักจะทำตัวแปลกๆแบบนี้อยู่แล้วเลยทำให้สตีฟเลิกที่จะใส่ใจและเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ

“คอนโดชั่วคราวของนายอยู่ไหนล่ะแคป” โทนี่ถามขณะที่กำลังคาดเข็มขัด

“แถบชานเมืองทางใต้น่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณขับไปตามทางที่ผมบอกพอ” สตีฟหยิบสายเข็มขัดมาคาดบ้าง

Rrrrr Rrrrr Rrrr….

เสียงเหมือนเสียงโทรศัพท์สั่นดังมาจากกระเป๋ากางเกงของโทนี่ อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับ

“ฮัลโหล  เพ็พ เปล่าจ้ะ เพ็พ...ผมมาส่งแคปซิเคิลกลับบ้านนะ ไม่ได้หนีไปเที่ยวที่ไหนซักหน่อย”

สตีฟหันไปมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง นี่โทนี่หนีงานมาหรือ?

“ผมกินยาแล้ว จ้ะ จ้ะ ผมสบายดีเพ็พ ไม่เจ็บแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”

สตีฟขมวดคิ้ว ถึงจะไม่รู้เรื่องมากเพราะฟังแต่เสียงของโทนี่แต่ก็พอจะรู้คร่าวๆว่าอีกฝ่ายคงจะเพิ่งหายจากการเจ็บป่วยมาหมาดๆ

“อาการผมปกติดี ถ้าคุณเป็นห่วงผมมากเอาเป็นว่าคุณมารับผมเป็นไง จ้ะ จ้ะ เดี๋ยวผมส่งแคปที่คอนโดเสร็จแล้วผมจะส่งแผนที่ไปให้นะ จ้ะ ผมไม่หักโหมแน่นอนเพ็พ คุณก็รู้ว่าผมเป็นเด็กดีแค่ไหน ฮ่าๆๆ โอเคเพ็พ ตามนั้นนะ จ้ะ รักคุณเหมือนกัน แค่นี้นะจ้ะที่รัก”

โทนี่ยิ้มบางๆก่อนจะกดวางสายไป

“คุณป่วยเหรอ” สตีฟถามเสียงเข้ม

“นิดหน่อยน่าแคป ตอนนี้ฉันหายแล้ว แต่เพ็พยังห่วงอยู่เท่านั้นเอง” โทนี่สตาร์ทรถ

“เธอเป็นห่วงคุณทดแทนที่คุณไม่ห่วงตัวเองนะสิ” สตีฟส่ายหน้าอย่างระอา

“เฮ้! แคป นายพูดแบบนี้ได้ไงเนี่ย ฉันดูแลตัวเองเสมอแหละน่า” โทนี่พูดเสียงกลั้วหัวเราะขณะที่เริ่มแตะคันเร่งทำให้รถเริ่มเคลื่อนที่ออกไป

“เชื่อคุณเลยโทนี่ ตอนศึกกับโลกิคุณเกือบจะสังเวยชีวิตคุณในหลุมอวกาศนั่นนะ!” สตีฟหันไปขึ้นเสียง

เอี้ยด!!!

รถยนต์คันหรูถูกเบรกกะทันหันในขณะที่สีหน้าของโทนี่ดูซีดลงไปในทันตา สตีฟเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“ทะ โทนี่ โทนี่ ทำใจดีๆไว้โทนี่ คุณเป็นอะไรไปน่ะ โทนี่!” สตีฟยื่นมือข้างหนึ่งไปกุมมืออีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังกำพวกมาลับรถแน่น ส่วนอีกข้างหนึ่งยื่นมือไปอังหน้าผากอีกฝ่าย

“ชะ ฉันไม่เป็นไร” เสียงของโทนี่สั่นเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ ข้อมือเล็กกำพวกมาลัยแน่นจนขึ้นเป็นข้อเขียว ใบหน้าที่ปกติดูอารมณ์ดีตอนนี้ดูซีดเซียวและดูเจ็บปวด

“โทนี่ หายใจเข้าลึกๆนะ พยายามทำใจดีๆโทนี่ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” สตีฟพยายามทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายอาการเกร็งกล้ามเนื้อลงด้วยการลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

โทนี่หอบหายใจอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังพยายามควบคุมลมหายใจของัวเองอย่างหนัก ในที่สุด หลังจาก 5 นาทีผ่านไป ท่าทีของโทนี่ก็ดูสงบลง

“ขอบคุณมาก แคป” โทนี่พูดเสียงแหบแห้งขณะที่เอนหลังพิงพนักเบาะอย่างหมดแรง

“นี่....เป็นอาการป่วยของคุณหรือเปล่า ผมหมายถึง ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ” สตีฟพูดด้วยสีหน้าหนักใจ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะไม่หายใจซะแล้ว

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ฉันเป็นโรคเครียดนิดหน่อยนะ” โทนี่หลับตาลง

“โอเค คราวหลังผมจะไม่รื้อฟื้นเรื่องนั้นอีกแล้ว” สตีฟลูบหัวโทนี่เบาๆหวังจะให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

“....อืม....”

“ผมว่า เดี๋ยวผมขับดีกว่านะ”

“โอเค ฉันก็คิดว่าฉันจะให้นายขับเหมือนกัน แต่ขอฉัน...พักก่อน...”

สตีฟมองอีกฝ่ายที่ยังคงหลับตาอยู่เงียบๆจนกระทั่งรู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว

คงจะเพลียสินะ

สตีฟปลดเข็มขัดออก เปิดประตูลงไปยืนข้างๆฝั่งคนขับ ค่อยๆปลดเข็มขัดให้อีกฝ่ายอย่างเบามือเพราะเกรงว่าจะทำให้อีกคนตื่น ก่อนจะค่อยๆช้อนตัวของมหาเศรษฐีขึ้นมา

ตัวเบากว่าที่คิดแฮะ...

สตีฟอมยิ้มเบาๆเมื่อพินิจมองใบหน้ายามหลับสนิทของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆเดินอ้อมรถไปอีกฝั่งและวางอีกฝ่ายลงบนเก้าอี้ข้างๆคนขับอย่างเบามือ เขาเกรงว่าหากให้อีกฝ่ายไปนอนเบาะหลังจะทำให้อีกฝ่ายกลิ้งตกเบาะเวลารถเลี้ยว บรรจงปรับเบาะนั่งให้พนักพิงเอนลงเพื่อเหมาะแก่การนอนและคาดเข็มขัดให้อีกครั้งหนึ่ง

โทนี่เพียงแค่ขยับตัวนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ทำให้สตีฟเผลอยิ้มออกมาบางๆ

พอจะพยศ ก็พยศซะ แต่พอจะหลับ ก็หลับแบบไม่รู้เรื่องเลยแฮะ...

“ฝันดี โทนี่”

สตีฟปิดประตูฝั่งนั้นให้เบาที่สุด เดินกลับไปนั่งที่คนขับ และขับรถออกไปช้าๆ

.

.

.

            “โทนี่...โทนี่ ถึงแล้วนะโทนี่”

            สตีฟเขย่าตัวปลุกอีกฝ่ายเบาๆหลังจากที่รถได้ขับมาจอดที่หน้าคอนโดของเขาแล้ว

            “....อืม....” โทนี่ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวงีย

            “โทนี่ เมื่อกี๊คุณพอตส์โทรมา ผมถือวิสาสะรับไปแล้ว เธอบอกว่าเธอกำลังจะมารับคุณ คุณไปรอเธอบนห้องผมก็ได้นะ” สตีฟอธิบาย

            “อืม....”

โทนี่จำใจตื่นขึ้นมาเต็มตาก่อนจะปลดเข็มขัดและลงจากรถแต่โดยดี สตีฟเห็นดังนั้นจึงล็อครถและเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องของตน

“ห้องนายนี่กว้างดีนะ แต่ไม่ค่อยจะมีอะไรเลย”

“เป็นที่พักชั่วคราวน่ะ อีกอย่างผมก็เพิ่งกลับมาจากภารกิจของหน่วยชิลด์ที่อัฟกานิสถานเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เอง”

สตีฟเดินไปรินน้ำมาให้อีกฝ่ายที่ยอมรับไปดื่มแต่โดยดี ก่อนที่จะทำการสำรวจห้องของเขาต่อ

“งานเยอะจริงนะแคป”

            โทนี่แซวเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษเสก็ตภาพหลายใบที่วางเกลื่อนอยู่บนเตียง และเจ้าตัวก็ไม่รีรอเลยที่จะหยิบมาดู ซึ่งสตีฟก็ไม่ได้คิดจะห้ามปรามอะไร

            “เพิ่งรู้ว่านายชอบวาดภาพ” โทนี่ถามทั้งๆที่สายตายังคงไม่ละไปจากรูปวิวที่ตนถืออยู่

            “มันก็คงเหมือนกันกับงานอดิเรกล่ะมั้ง อย่างของคุณก็เป็นสร้างชุดไอรอนแมนน่ะ” สตีฟยิ้ม

            “อันนั้นฉันเลิกไปแล้ว” โทนี่ยิ้มบางๆ

            “ดีแล้ว คุณยิ่งชอบฝืนสังขารตัวเองสร้างชุดเกราะหามรุ่มหามค่ำอยู่ ผมยังไม่อยากเห็นบุรุษเกราะเหล็กต้องเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะสร้างชุดเกราะให้ตัวเองใส่หรอกนะ” สตีฟพูดกลั้วหัวเราะ

            “.......”

            “พวกเราทุกคนเป็นห่วงคุณนะโทนี่ อเวนเจอร์จะไม่สมบูรณ์ถ้าขาดไอรอนแมน” สตีฟยิ้ม

            “ขอโทษนะสตีฟ.... ต่อไปนี้จะไม่มีไอรอนแมนอีกแล้วล่ะ” โทนี่ยิ้มฝืดๆ

            “คุณ...หมายความว่ายังไงน่ะโทนี่” สตีฟมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

            “ฉันจะเลิกเป็นไอรอนแมนแล้วล่ะสตีฟ... ต่อไปนี้ฉันจะเป็นแค่ โทนี่ สตาร์ก คนธรรมดา” โทนี่ยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่สตีฟคิดว่ามันดูโล่งใจ

            “ตะ แต่ ทำไมล่ะ” สตีฟสับสน ทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงอยากจะเลิกเป็นไอรอนแมน

            “ฉันมีครอบครัวแล้วสตีฟ ฉันมีเพ็พ ผู้หญิงที่เพอร์เฟ็คที่สุดสำหรับฉัน และฉันก็รักเขา.... หลังจากศึกกับแมนดารินเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน ทำให้ฉันรู้ว่าฉันเสียเพ็พไปไม่ได้ สตีฟ.... เพ็พคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันตอนนี้ นายเข้าใจฉันไหมสตีฟ....”

            สตีฟเบิกตากว้าง เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถพูดอะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกของตนได้มากขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาแค่ 6 เดือนจะทำให้โทนี่เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

            “แต่....ทีมอเวนเจอร์” สตีฟฝืนพูดออกไปอย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ

            “อเวนเจอร์อยู่ได้โดยไม่มีฉันสตีฟ อีกอย่าง ถึงฉันจะไม่ได้เป็นไอรอนแมนแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นที่ปรึกษาของอเวนเจอร์อยู่นะ ฉันจะคอยสนับสนุนพวกนายเสมอ” โทนี่ยิ้มให้เขาและตบบ่าเขาเบาๆ

            “ผม....” สตีฟพยายามจะพูด แต่เขาพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนกับว่าน้ำตามันรื้นออกมาที่ขอบตาอย่างช่วยไม่ได้ๆ

“ไม่ต้องพูดแล้ว”

โทนี่เอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากของสตีฟเบาๆ ก่อนที่จะกอดสตีฟแน่น

“....ผมคงจะ คิดถึงคุณมาก”

ในที่สุดสตีฟก็หาเสียงของตัวเองเจอ เขากอดตอบร่างสันทัดอีกฝ่าย ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังสั่นเทิ้มเพียงใด และรับรู้ว่าสัมผัสจากมือของอีกฝ่ายที่กำลังลูบหลังเขาอยู่ทำให้เขาสงบลงได้อย่างน่าประหลาด

ปิ๊นๆ

เสียงแตรดังมาจากหน้าคอนโน ทำให้ทั้งสองรีบผละออกจากกัน และสตีฟเพิ่งรู้ตัวว่าเขาหน้าแดงเพียงใด

“สงสัยว่าเพ็พจะมารับฉันแล้วล่ะ....” โทนี่ยิ้ม

“ลาก่อน โทนี่” สตีฟยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดในชีวิตที่เขาจะมอบให้ใครได้

“ไม่ใช่ลาก่อนสตีฟ แล้วเจอกันต่างหาก” โทนี่ยิ้มก่อนจะเดินมาหอมแก้มเขาเบาๆ แล้วเปิดประตูห้องเขาออกไป

“แล้วเจอกันโทนี่....คนที่ผมแอบรัก”

สตีฟพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะที่เอามือลูบแก้มที่ยังคงรู้สึกถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่จางๆ

--END--

TALK

            นี่เราแต่งอัลไลลลลลลลล #กรีดร้องล้านๆๆๆๆๆครั้ง อ่านเองก็งงเอง นี่เราแต่งอัลไลลลลลล !!!!

ฟิคนี้คิดมาตั้งแต่ดู Ironman3 จบหมาดๆเลยค่ะ เรารู้สึกว่าเพ็พเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับโทนี่ สตาร์กที่สุดแล้ว แต่เราก็ดันเป็นสาย Stony เลยเอามาเขียนเป็น Stony แบบมี Pepper แทรกค่ะ

            ไม่รู้ว่าถูกใจกันรึเปล่านะคะ บอกตามตรงเลยว่าปั่นฟิคนี้ด้วยวามอืดดดด เราดองไว้ 1 อาทิตย์ ถึงได้ออกมาเป็นรูปนี้ LOL ตอนแรกนึกว่าจะแต่งไม่จบซะแล้ว เพราะเราเริ่มเอะใจว่านี่มันเป็นShort Ficที่ยาวมากกกกกก ตั้ง 10 หน้า word แหนะ ยาวกว่าตอนแต่งฟิคยาวในแต่ละตอนอีก

            ขอขอบคุณโดจิน Parallel ของพี่ SEY นะคะ ที่ทำให้เราเกิดอาการฟินคู่ Stony ขึ้นมาอีกครั้งจนต้องแต่งฟิคนี้ออกมา แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์นักเพราะฟิคนี้ก็เป็นฟิคแรกของเราสำหรับคู่นี้ แต่ก็อยากให้ชอบกันนะคะ






Leave a Reply.